แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 40
1
จุดสำคัญในบ้านเรือนที่ควรติดตั้งผ้ากันไฟ

ปัจจุบันผ้ากันไฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังขยายมาสู่การใช้งานในบ้านเรือนมากขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ซึ่งผู้ประกอบการบ้านจัดสรร หรือเจ้าของบ้านที่ต้องการยกระดับความปลอดภัย ควรพิจารณาติดตั้งผ้ากันไฟในจุดสำคัญเหล่านี้ครับ

1. ห้องครัว (Kitchen)
ห้องครัวเป็นจุดเสี่ยงอันดับหนึ่งในการเกิดเพลิงไหม้ในบ้านเรือน

ผ้าม่านกันประกายไฟ (Welding Curtain / Fire Blanket type): สำหรับคลุมบริเวณเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าขณะทำอาหาร โดยเฉพาะเวลาทอดที่อาจมีน้ำมันกระเด็น หรือเพื่อป้องกันประกายไฟจากเตาอบไฟฟ้า/ไมโครเวฟที่อาจลุกไหม้ได้

ผ้าห่มดับเพลิง (Fire Blanket): เป็นอุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้นที่ควรมีติดครัวไว้ สามารถใช้คลุมดับไฟที่เกิดจากน้ำมันในกระทะ หรือไฟที่ลุกไหม้เสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็ว

2. บริเวณเตาผิง หรือเครื่องทำความร้อน (Fireplace / Heaters)
สำหรับบ้านที่มีเตาผิง หรือเครื่องทำความร้อนแบบใช้เชื้อเพลิง (เช่น ไม้ ฟืน)

ผ้าม่านกันสะเก็ดไฟ/ฉากกั้น: ใช้กั้นบริเวณหน้าเตาผิงเพื่อป้องกันสะเก็ดไฟหรือถ่านที่อาจกระเด็นออกมาถูกพรม เฟอร์นิเจอร์ หรือพื้นไม้

แผ่นรองใต้เตาผิง: วางผ้ากันไฟเป็นแผ่นรองใต้เตาผิง เพื่อป้องกันความร้อนที่แผ่ลงมาสู่พื้น หรือหากมีสะเก็ดไฟหล่นลงมาก็จะไม่ไหม้ลาม

3. ห้องเก็บของ หรือห้องที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก (Storage Room / Utility Room)
ห้องเหล่านี้มักมีอุปกรณ์ที่อาจเป็นแหล่งกำเนิดความร้อนหรือเชื้อเพลิง

ฉากกั้นแบ่งโซน/ม่านกันไฟ: หากเป็นห้องเก็บของขนาดใหญ่ หรือห้องที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก เช่น แผงควบคุมไฟฟ้า เครื่องปั๊มน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น อาจพิจารณาติดตั้งผ้าม่านกันไฟเพื่อแบ่งโซน ป้องกันไม่ให้ไฟลามจากอุปกรณ์ไฟฟ้าไปยังเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่เก็บอยู่

ผ้าคลุมอุปกรณ์: ใช้ผ้ากันไฟคลุมอุปกรณ์บางชนิดที่อาจเกิดความร้อนสูง หรือสายไฟที่อาจเสี่ยงต่อการลัดวงจร

4. โรงจอดรถ (Garage)
โรงจอดรถมักเป็นที่เก็บเชื้อเพลิง (น้ำมัน) สารเคมีไวไฟ และมีเครื่องมือที่อาจเกิดประกายไฟได้

ผ้าม่านกันประกายไฟ/ฉากกั้น: หากมีการทำงานซ่อมบำรุงรถยนต์ หรือทำงาน DIY ที่อาจเกิดประกายไฟ (เช่น การเชื่อมโลหะเล็กๆ น้อยๆ) ควรมีผ้าม่านกันประกายไฟกั้นระหว่างพื้นที่ทำงานกับบริเวณที่มีสารไวไฟ

ผ้าห่มกันสะเก็ดไฟ: ใช้คลุมบริเวณที่เสี่ยงต่อประกายไฟกระเด็น

5. บริเวณใกล้เคียงปล่องระบายอากาศ / ท่อไอเสีย (Ventilation Shafts / Exhaust Pipes)
ผ้าหุ้มฉนวนป้องกันความร้อน: สำหรับบางจุดที่ท่อระบายอากาศจากเครื่องทำความร้อน หรือท่อไอเสียจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ถ้ามี) ผ่านใกล้ผนังไม้หรือวัสดุไวไฟ ควรใช้ผ้ากันไฟที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนหุ้ม เพื่อลดความร้อนที่แผ่ออกมาและป้องกันการลุกไหม้ของวัสดุใกล้เคียง

6. บริเวณใกล้เต้ารับ/ปลั๊กพ่วงที่มีการใช้งานหนัก (Heavy-Duty Sockets/Extension Cords)
แม้จะไม่ได้ติดตั้งผ้าโดยตรงกับปลั๊ก แต่สามารถใช้เป็นมาตรการเสริม:

แผ่นรองกันไฟ: วางแผ่นผ้ากันไฟรองใต้หรือหลังบริเวณที่มีปลั๊กพ่วงจำนวนมาก หรือเต้ารับที่ใช้งานหนักต่อเนื่อง เพื่อเป็นชั้นป้องกันแรกหากเกิดการอาร์คหรือลัดวงจรจนเกิดความร้อนสูง

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับบ้านเรือน:
ความสวยงามและดีไซน์: สำหรับบ้านเรือน ผ้ากันไฟบางชนิด (เช่น ผ้าใยแก้วเคลือบซิลิโคน) มีสีสันและผิวสัมผัสที่ดูเรียบร้อยกว่า ทำให้สามารถกลมกลืนกับการตกแต่งภายในได้ดีกว่า

การติดตั้งง่าย: ควรเลือกผ้าที่สามารถติดตั้งได้ง่ายด้วยตัวเอง หรือใช้บริการช่างผู้เชี่ยวชาญหากเป็นการติดตั้งที่ซับซ้อน

การทำความสะอาด: เลือกผ้าที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย เพื่อสุขอนามัยในบ้าน

มาตรฐาน: แม้ในบ้านเรือน กฎหมายอาจไม่เข้มงวดเท่าอุตสาหกรรม แต่การเลือกผ้าที่ผ่านมาตรฐานจะช่วยให้มั่นใจในคุณภาพ

การติดตั้งผ้ากันไฟในจุดเสี่ยงเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ในบ้านได้อย่างมากครับ








2
ซ่อมบำรุงอาคาร: รวมวิธีกันลื่นในห้องน้ำ ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุ

เนื่องจากห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่ต้องมีน้ำและความเปียกชื้นตลอดอยู่เวลา ห้องน้ำจึงเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ทั้งพลัดตกหรือลื่นล้ม โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ควรให้ความสำคัญและต้องรีบป้องกันปัญหาพื้นในห้องน้ำลื่นให้เร็วที่สุด จึงได้รวบรวมวิธีกันลื่นในห้องน้ำมาไว้ให้แล้ว หากวิธีไหนเหมาะกับบ้านคุณ ก็สามารถเลือกไปปรับใช้กันได้เลย

1. แยกโซนแห้งและเปียก ป้องกันการลื่นล้ม

          ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ห้องน้ำสกปรก ก็คือความชื้นที่มาจากน้ำ จากนั้นก็ก่อตัวเป็นตะไคร่และคราบสกปรกขึ้นมา หากแยกโซนแห้งและเปียกให้เป็นสัดส่วน จะช่วยลดภาระในการดูแลห้องน้ำได้มากเลยค่ะ โดยโซนแห้งจะถูกแบ่งเป็นส่วนของชักโครกและอ่างล้างหน้า ส่วนโซนเปียกเป็นส่วนอาบน้ำ ควรออกแบบให้มีส่วนกั้นเพื่อป้องกันน้ำกระเซ็นออกมา เมื่อน้ำถูกจำกัดขอบเขต คราบสกปรกน้อยลง ความลื่นน้อยลง การทำความสะอาดก็เบาแรงลงไปได้มากด้วย วิธีแยกโซนแห้งและเปียก เช่น ใช้ฉากกั้นอาบน้ำ ตู้อาบน้ำ หรือก่อผนังกั้น และสำหรับบ้านไหนที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ วิธีที่ไม่ควรทำ คือ ทำโซนเปียกเป็นสเต็ปที่ต่ำลงไป หรือก่อปูนขึ้นมากั้นน้ำ เพราะจะทำให้สะดุดหรือเหยียบพลาดได้ บ้านที่มีสมาชิก 2 วัยนี้ ควรออกแบบให้พื้นห้องน้ำอยู่ในระดับเดียวกัน จัดโซนเปียกให้อยู่ด้านในสุด เปลี่ยนสีกระเบื้องเพื่อแบ่งพื้นที่ แล้วใช้ฉากกั้นอาบน้ำหรือก่อผนังกั้นกันน้ำกระเซ็น

2. เลือกกระเบื้องผิวหยาบสำหรับพื้นห้องน้ำ ช่วยกันการลื่นล้มได้

          กระเบื้องมีหลายประเภทแล้วแต่การใช้งาน เช่น กระเบื้องปูพื้น กระเบื้องผุผนัง ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน กระเบื้องที่ใช้ปูพื้นห้องน้ำควรมีผิวหยาบ หรือมีผิวสัมผัสที่ฝืด ซึ่งกระเบื้องที่ได้มาตรฐานจะบอกค่ากันความลื่นไว้ (Slip Resistance) สำหรับกระเบื้องที่ใช้ปูพื้นห้องน้ำควรมีค่ากันลื่นที่ R 10 ขึ้นไป ไม่ควรเลือกกระเบื้องผุผนังมาใช้ปูพื้น เพราะพื้นผิวกระเบื้องจะมีความเรียบและมันหากโดนน้ำจะทำให้พื้นลื่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากเลือกกระเบื้องที่พื้นผิวแล้ว เราแนะนำให้เลือกกระเบื้องที่มีขนาดเล็ก เพราะร่องยาแนวที่มากขึ้น จะช่วยกันลื่นได้อีกทาง อีกทั้งยังทำให้ห้องน้ำดูกว้างขึ้นด้วย

3. ทาน้ำยากันลื่นที่พื้นกระเบื้อง

          หากบ้านไหนปูกระเบื้องผิดประเภท หรือพื้นกระเบื้องมีความเรียบ มัน และลื่น แต่ไม่อยากรื้อกระเบื้องเพื่อปูใหม่ คุณสามารถใช้น้ำยาทากันลื่นได้ ซึ่งคุณสมบัติของน้ำยาจะช่วยทำให้พื้นผิวของกระเบื้องมีความหนืดขึ้น เพิ่มแรงเสียดทานตอนเดินบนพื้นห้องน้ำได้ การใช้งานง่าย ๆ ก่อนอื่นให้ทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง จากนั้นเทน้ำยากันลื่นและเช็ดให้ทั่วพื้นกระเบื้อง รอจนน้ำยาแห้ง แล้วล้างด้วยน้ำเปล่า แค่นี้ก็ทำให้พื้นมีความหนืดขึ้นได้แล้ว แต่หากเราเดินบนพื้นที่ถูกทาด้วยน้ำยาบ่อย ๆ เข้า พื้นจะกลับมาลื่นอีก จึงต้องคอยทาน้ำยาเรื่อย ๆ

4. รองพื้นห้องด้วยแผ่นรองกันลื่น

          อีกวิธีที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก เป็นวิธีการใช้แผ่นรองกันลื่นมารองที่พื้นห้องน้ำส่วนที่เปียก เพื่อเพิ่มการยึดเกาะพื้น ป้องกันไม่ให้ลื่นล้มในห้องน้ำได้ แนะนำให้เลือกวัสดุที่ใช้ผลิตแผ่นรองกันลื่นจากพวกยาง PVC เพราะจะมีความนุ่ม สามารถเหยียบด้วยเท้าเปล่าได้ ไม่บาดผิว อีกทั้งผิวสัมผัสด้านล่างของแผ่นรองควรเป็นแบบปุ่มสุญญากาศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นผิวให้มั่นคงยิ่งขึ้น และควรเลือกแผ่นรองกันลื่นที่มีขนาดเล็กหน่อย เพื่อให้สะดวกในการทำความสะอาด ทั้งนี้ควรนำแผ่นรองกันลื่นมาฉีดล้างทำความสะอาด และนำมาตากให้แห้งอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อขจัดคราบสกปรกและความชื้น สาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อราและสิ่งหมักหมม

5. ติดเทปกันลื่นที่พื้นห้องน้ำ

          ใช้เทปกันลื่น (Anti-Slip Tape) ติดที่พื้นห้องน้ำ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ ซึ่งเทปกันลื่นนี้ใช้งานได้อเนกประสงค์ สามารถติดในจุดที่เสี่ยงต่อการลื่น หรือบริเวณที่เปียกได้ เพราะมีคุณสมบัติกันน้ำ ทนต่อความชื้น กาวเหนียวติดแน่น ผิวเทปมีความหยาบแต่อ่อนนุ่มไม่บาดผิว สามารถตัดและติดใช้เฉพาะจุดที่ต้องการได้ ทั้งบริเวณทางเข้าห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ พื้นส่วนที่ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งเทปกันลื่นก็มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบใส แบบสี และแบบสะท้อนแสง ที่ทำให้มองชัดเจนในเวลากลางคืน สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมได้เลย

6. ติดตั้งราวทรงตัว ป้องกันผู้สูงอายุลื่นล้ม

          สำหรับบ้านที่มีคนหลายวัย หลายช่วงอายุอาศัยอยู่ ควรติดตั้งราวทรงตัวในห้องน้ำไว้เป็นระยะ ทั้งบริเวณทางเดินและด้านข้างสุขภัณฑ์ เพื่อช่วยพยุงตัวและช่วยในการยึดเกาะ ทำให้ลดและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทรงตัวไม่ดีหรือลื่นหกลื่มในห้องน้ำได้ และเพื่อความปลอดภัย ควรเลือกราวทรงตัวที่ผลิตจากวัสดุที่แข็งแรง และรับน้ำหนักได้มาก

3
ตรวจอาการด้วยตนเอง: ท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย (Giardiasis)

ไกอาร์เดีย (Giardia) เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ชนิดหนึ่งแบบเดียวกับอะมีบา สามารถเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อที่ลำไส้เล็ก กลายเป็นโรคท้องเดินทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังได้

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบในเด็ก มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี (เช่น ไม่มีส้วมใช้ ไม่มีน้ำดื่มสะอาด มีแมลงวันชุกชุม) หรือในกลุ่มคนที่ดื่มน้ำไม่สะอาด หรือขาดสุขนิสัยที่ดี

การติดเชื้อมักเกิดได้บ่อยในสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้นของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยจิตเวช และในหมู่ชายรักร่วมเพศ

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้คนอื่น

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไกอาร์เดียแลมเบลีย (Giardia lamblia) ที่อยู่ตามดินและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำห้วย หนอง บึง ทะเลสาบ บ่อน้ำ เป็นต้น และอาจปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำและน้ำประปา (เนื่องจากเชื้อในรูปของซิสต์* มีความคงทน ไม่ถูกทำลายด้วยคลอรีน) ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้แบบดิบ ๆ หรือจากการกินผัก ผลไม้ และอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ นอกจากนี้ยังอาจติดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อโดยผ่านทางการสัมผัสมือ หรือทางเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในหมู่ชายรักร่วมเพศ)

ระยะฟักตัว ประมาณ 1-3 สัปดาห์

*เชื้อนี้มีอยู่ตามดินและน้ำในรูปของถุงหุ้มหรือซิสต์ (cyst) ซึ่งสามารถมีชีวิตได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน เมื่อคนกินซิสต์เข้าไปในลำไส้ ถุงหุ้มก็จะแตกปล่อยให้เชื้อออกมาแบ่งตัวเจริญเติบโตเป็นเชื้อระยะเจริญหรือโทรโฟซอยต์ (trophozoites) ซึ่งจะรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลำไส้อักเสบและขัดขวางการดูดซึม และส่วนหนึ่งเจริญเป็นซิสต์ ขับออกทางอุจจาระไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย


อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน แรกเริ่มมีอาการถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง (บางรายอาจถ่ายเหลวปริมาณมาก วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า) 3-4 วันต่อมาอุจจาระมีลักษณะเป็นมัน เป็นฟอง ลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด อาจส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วห้อง อุจจาระมักไม่มีมูกหรือเลือดปน (น้อยรายที่อาจมีมูกโดยไม่มีเลือด) ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบิดในท้อง มีลมในท้องมาก ท้องอืด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีอาการอยู่นาน 1-3 สัปดาห์ (บางรายอาจนาน 6 สัปดาห์) แล้วหายไปได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยอาจมีอาการเรื้อรัง

ในรายที่เป็นเรื้อรัง (อาจเกิดตามหลังอาการเฉียบพลันหรือไม่ก็ได้) มักมีอาการที่เกิดจากการดูดซึมผิดปกติ (malabsorption) ได้แก่ อาการถ่ายอุจจาระเหลวปริมาณมากและบ่อย อุจจาระมีสีเหลืองเป็นฟอง มีลักษณะเป็นมันลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีท้องผูกสลับท้องเดินนานเป็นแรมเดือนแรมปี มักมีอาการปวดท้อง (ซึ่งจะเป็นมากหลังกินอาหาร) มีลมในท้อง ท้องอืด และน้ำหนักลด


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่ถ่ายรุนแรงอาจมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งมักไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต (ยกเว้นถ้าพบในทารกอาจเป็นอันตรายได้)

อาจเกิดภาวะพร่องแล็กเทส ทำให้มีอาการท้องเดิน หรือปวดท้องเวลาดื่มนม

ที่สำคัญ คือ ทำให้ลำไส้มีการดูดซึมที่ผิดปกติ มีอาการท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด และขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่เป็นโรคนี้เรื้อรัง จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต น้ำหนักน้อย ขาดสารอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและพัฒนาการทางสมอง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยตรวจพบภาวะขาดน้ำ ท้องอืด มีอาการกดเจ็บท้องเล็กน้อย ได้กลิ่นอุจจาระเหม็นจัด บางคนอาจมีไข้ต่ำ ๆ

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจพบเชื้อไกอาร์เดียในอุจจาระ (อาจต้องนำอุจจาระไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ซ้ำ ๆ หลายครั้ง หากตรวจครั้งแรก ๆ ไม่พบเชื้อ) ในกรณีที่ไม่แน่ใจ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจสารก่อภูมิต้านทาน (antigen) ในอุจจาระด้วยวิธี IFA หรือ ELISA


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ

เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรไนดาโซล นาน 5 วัน

ถ้ามีภาวะขาดสารอาหารหรือน้ำหนักน้อย ก็จะบำรุงอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ ตามลักษณะอาการที่พบ

ผลการรักษา มักจะได้ผลดี ยกเว้นในรายที่ดื้อยา อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น เช่น ทินิดาโซล (tinidazole), อัลเบนดาโซล


การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการถ่ายบ่อย อุจจาระมันเป็นฟอง ลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด
    ถ่ายรุนแรง อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ได้น้อย (สังเกตพบปัสสาวะออกน้อย และมีสีเข้มอยู่เรื่อย ๆ)
    มีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง สังเกตพบมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย
    มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจหวิวใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว

สำหรับทารก มีท่าทางซึม ไม่ร่าเริง กระหม่อมบุ๋ม

    มีไข้เกิน 3-4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    กินยาตามที่แพทย์แนะนำ 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

1. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร เปิบอาหาร หลังถ่ายอุจจาระ หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก

2. อย่าดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบ ๆ ถึงแม้จะดูใสสะอาดก็ไม่ปลอดภัย ควรต้มน้ำให้สุกก่อนดื่ม (ต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 10 นาที) หรือดื่มน้ำขวดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแล้ว

3. เวลาเล่นน้ำในสระว่ายน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก

4. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ

5. สำหรับชายรักร่วมเพศ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาต

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่ติดเชื้อไกอาร์เดียส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้คนอื่น ดังนั้น จึงควรรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามหลักสุขลักษณะพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายอุจจาระลงในส้วม การล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร เปิบอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระ

2. โรคนี้แม้ไม่ได้ให้ยารักษาก็อาจหายได้เอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ การให้ยาปฏิชีวนะจะช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น และลดการแพร่เชื้อ

3. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หากมีอาการท้องเดินควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัย และรักษาโรคแต่เนิ่น ๆ

4
หมอออนไลน์: โรคหัวใจขาดเลือด/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Ischemic heart disease) โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (Angina pectoris)

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่สงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเพียงชั่วขณะ เป็นบางครั้งบางคราว) แพทย์มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography/ECG/EKG) ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ (ดูว่าเป็นเบาหวาน มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ หรือไม่)

ในกรณีที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจบอกผลได้ไม่ชัดเจน* อาจจำเป็นต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test) โดยการวิ่งบนสายพานหรือปั่นจักรยาน การถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) การถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) เป็นต้น

การรักษา แพทย์จะให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจกลุ่มไนเทรต เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (nitroglycerine) หรือไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) อมใต้ลิ้นทันทีเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบตุบ ๆ ที่ขมับคล้ายไมเกรน เนื่องจากหลอดเลือดที่ขมับขยายตัว บางรายอาจมีอาการเป็นลมขณะลุกขึ้นยืน ดังนั้นเวลาจะอมยากลุ่มนี้ ควรนั่งลงเสียก่อนอย่าอยู่ในท่ายืน

นอกจากนี้ อาจให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดออกฤทธิ์นาน เช่น ไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) ไดไพริดาโมล (dipyridamole) เพนตาอีริไทรทอล (pentaerythritol) เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการ

ผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะให้ยาต้านเกล็ดเลือด ได้แก่ แอสไพริน ขนาด 81-325 มก. วันละครั้ง เพื่อไม่ให้เกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น ถ้าแพ้แอสไพรินหรือมีข้อห้ามใช้ยานี้อาจให้ไทโคลพิดีน (ticlopidine) 250 มก. วันละ 2 ครั้ง หรือโคลพิโดเกรล (clopidogrel) 75 มก. วันละครั้ง

บางครั้งอาจต้องให้ยาปิดกั้นบีตา ยาต้านแคลเซียม หรือยาต้านเอซ ซึ่งสามารถลดการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และป้องกันการเสียชีวิตได้

ถ้าผู้ป่วยมีโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ต้องให้ยารักษาโรคเหล่านี้ร่วมด้วย

ในรายที่มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อย หรือใช้ยาไม่ได้ผล แพทย์จะทำการสวนหัวใจและฉีดสีถ่ายภาพหลอดเลือดหัวใจ (cardiac catheterization and  angiogram) ถ้าพบว่ามีการอุดกั้นรุนแรงหรือหลายแห่ง ก็จะทำการแก้ไขโดยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (นิยมเรียกว่า การทำบอลลูน)** และใส่หลอดลวดตาข่าย (stent) คาไว้ในหลอดเลือดบริเวณที่ตีบตัน

ในบางครั้งแพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเปิดทางระบาย (ทางเบี่ยง) ของหลอดเลือดหัวใจ (นิยมเรียกว่า การผ่าตัดบายพาส)*** วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ใช้ยารักษาไม่ได้ผล หรือไม่สามารถทำบอลลูนหรือทำบอลลูนไม่ได้ผล

2. ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงหรือต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเป็นวัน ๆ มีภาวะหัวใจวาย ช็อกหรือหมดสติ หรือมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงและบ่อยขึ้นกว่าเดิม หรือมีอาการเจ็บหน้าอกขณะพักหรือออกแรงเพียงเล็กน้อย

แพทย์จะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเลือด (มักพบระดับ creatine kinase-MB และ troponin ในเลือดสูงกว่าปกติในผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน) และตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบไม่คงที่ (unstable angina) ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา ในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แพทย์จะให้แอสไพรินเคี้ยวก่อนกลืน (ถ้ายังไม่ได้รับมาก่อน ซึ่งจะช่วยลดขนาดของลิ่มเลือดที่อุดตัน ช่วยให้รอดชีวิตได้) ให้ยาปิดกั้นบีตา (เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดการทำงานของหัวใจ ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายมากขึ้น) ให้ยาต้านเอซ (เพื่อลดการพองตัวของหัวใจ รักษาภาวะหัวใจวาย ช่วยลดการตายลงได้) ฉีดมอร์ฟีนระงับปวด และให้ออกซิเจน

นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาขั้นต่อไป คือ การให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic  agent ได้แก่ ทีพีเอ (tPA/recombinant tissuetype plasminogen activator) หรือสเตรปโตไคเนส (streptokinase) ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้ภายใน 6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ) หรือไม่ก็อาจพิจารณาทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาสแบบฉุกเฉิน

บางกรณี แพทย์อาจให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม ได้แก่ เฮพารินชนิดน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (low molecular weight heparin/LMWH) เสริมในรายที่ให้ทีพีเอ (tPA) หรือทำบอลลูน

ใน 2-3 วันแรก ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักอยู่บนเตียง (ห้ามลงจากเตียง) ผู้ป่วยต้องงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด แพทย์จะให้ยาระบายเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเบ่งถ่ายอุจจาระเพราะท้องผูก ให้ยาจิตประสาทเพื่อควบคุมภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า โดยทั่วไปหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 5-7 วัน เมื่ออาการทุเลาดีแล้ว ก็จะเริ่มทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูสภาพหัวใจให้แข็งแรง และให้ยารักษาแบบเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะอย่างต่อเนื่องต่อไป

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบไม่คงที่ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ให้ยาแบบเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือดทั่วไป รวมทั้งให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (ได้แก่ เฮพาริน) และยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน ไทโคลพิดีน หรือโคลพิโดเกรล) ให้ยาปิดกั้นบีตา และให้ไนโตรกลีเซอรีนชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ ถ้าไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา ก็จะทำการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจและทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค สภาพของผู้ป่วย โรคที่พบร่วม และวิธีรักษา

ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง มักได้ผลการรักษาที่ดี การใช้แอสไพรินสามารถป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และลดการตายลงได้ ส่วนการทำบอลลูนและการผ่าตัดบายพาส ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่รอดปลอดภัยมากขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาไม่สู้ดี ได้แก่ ผู้ป่วยอายุมาก เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น หัวใจวาย)

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่คงที่ ถ้าเริ่มมีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน หรือมีความล่าช้าในการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจและการบำบัดที่เหมาะสม ผลการรักษามักจะไม่ดี

ผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถ้าเป็นรุนแรงหรือกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายปริมาณมาก ก็มักจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหรือทันทีทันใด ในรายที่สามารถมีชีวิตรอดได้ 2-3 วันหลังเกิดอาการก็มักจะฟื้นตัวจนเป็นปกติได้ ซึ่งบางรายอาจกำเริบซ้ำและเสียชีวิตภายใน 3-4 เดือนถึง 1 ปีต่อมา  ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการต่อเนื่อง เช่น เจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราว หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือภาวะหัวใจวาย มักพบอัตราตายและการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หรือมีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว ร่วมด้วย

ส่วนในรายที่ได้รับการทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส มักจะฟื้นสภาพได้ดี และมีชีวิตได้ยืนยาวขึ้น แต่บางรายก็อาจมีหลอดเลือดหัวใจตีบตันซ้ำ ซึ่งอาจต้องทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาสซ้ำ

*การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความไวในการวินิจฉัยโรคนี้ประมาณร้อยละ 50-75 หมายความว่า ประมาณร้อยละ 50-75 ของผู้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะบอกว่าผิดปกติ และประมาณร้อยละ 25-50 ผลการตรวจจะบอกว่าปกติ เรียกว่า ผลลบลวง (false negative) อาจทำให้วินิจฉัยผิดได้

**การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (percutaneous transluminal coronary angioplasty/PTCA) แพทย์จะใช้สายที่มีบอลลูน (balloon) อยู่ตรงปลาย สอดใส่เข้าหลอดเลือดแดงต้นขา (femoral artery) แล้วแยงขึ้นไปจนเข้าไปตรงบริเวณหลอดเลือดหัวใจที่ตีบตัน แล้วเป่าลมให้บอลลูนพองตัว ดันตะกรันท่อเลือดแดง (atheroma) ให้แฟบและทำการขยายหลอดเลือด

***การผ่าตัดบายพาส (bypass surgery หรือ coronary artery bypass grafting/CABG) เป็นการผ่าตัดโดยนำหลอดเลือดจากส่วนอื่น (เช่น หลอดเลือดขา) ไปต่อเชื่อมระหว่างหลอดเลือดหัวใจ (ส่วนที่ยังไม่มีการตีบตัน) กับหลอดเลือดแดงใหญ่

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
การเลือกของตกแต่งบ้านน่ารัก ๆ เพื่อห้องสุดคิ้วท์

การเลือก ของตกแต่งบ้านน่ารักๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ ห้องสุดคิ้วท์ นั้นเน้นที่ความน่ารัก อบอุ่น และการสะท้อนสไตล์ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความสดใสค่ะ ของตกแต่งเหล่านี้จะช่วยแปลงโฉมห้องให้กลายเป็นพื้นที่ที่คุณรู้สึกสบายใจ มีความสุข และอยากใช้เวลาอยู่ด้วยตลอดเวลา ลองมาดูไอเดียที่จะทำให้ห้องของคุณน่ารักกว่าเดิมกันนะคะ!


1. เพิ่มความคิ้วท์ด้วยสิ่งทอและผ้า (Cute Textiles & Fabrics)

การเปลี่ยนผ้าในห้องเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างบรรยากาศใหม่

หมอนอิงลายการ์ตูน/รูปทรงน่ารัก: เลือกหมอนอิงรูปสัตว์ รูปผลไม้ รูปหัวใจ หรือลวดลายการ์ตูน สีพาสเทล หรือสีสดใส วางบนโซฟาหรือเตียง

ผ้าห่ม/ผ้าคลุมเตียงนุ่มฟู: เลือกเนื้อผ้าที่นุ่มสบาย เช่น ผ้าฟลีซ ผ้ากำมะหยี่ หรือผ้าถักไหมพรมหนานุ่ม สีอ่อนหวาน หรือมีลายแพทเทิร์นน่ารักๆ

พรมปูพื้นดีไซน์คิ้วท์: พรมขนปุยรูปเมฆ รูปหมี หรือพรมลายน่ารักๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและความนุ่มนวลให้กับพื้น

ผ้าม่านลายพิมพ์น่ารัก: เลือกผ้าม่านลายจุด ลายตารางเล็กๆ ลายดอกไม้ หรือลายการ์ตูนที่เข้ากับโทนห้อง


2. ของตกแต่งบนผนังสร้างความสดใส (Vibrant Wall Decor)

เปลี่ยนผนังห้องว่างๆ ให้เต็มไปด้วยเรื่องราวและความน่ารัก

โปสเตอร์/ภาพพิมพ์อาร์ตเวิร์ค: เลือกภาพประกอบน่ารักๆ ภาพการ์ตูน ภาพศิลปะแนว Minimalist ที่มีสีสันสดใส

กรอบรูปดีไซน์น่ารัก: ใส่รูปถ่ายกับสัตว์เลี้ยง รูปเพื่อน รูปวิวสวยๆ หรือรูปที่สร้างรอยยิ้ม

ชั้นวางของติดผนังรูปทรงแปลกตา: เช่น ชั้นวางรูปบ้าน รูปเมฆ หรือรูปทรงเรขาคณิตที่ดูสนุกสนาน สำหรับวางของตกแต่งชิ้นเล็กๆ

ไฟประดับ LED/ไฟสาย: เช่น ไฟ LED รูปดาว รูปหัวใจ หรือรูปการ์ตูนเล็กๆ ติดบนผนังหรือรอบเตียง สร้างบรรยากาศอบอุ่นยามค่ำคืน


3. เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยพืชพรรณและกระถาง (Lively Plants & Cute Pots)

นำธรรมชาติเข้ามาเพิ่มความสดชื่นในแบบคิ้วท์ๆ

ต้นไม้ขนาดเล็กในกระถางน่ารัก: เช่น กระถางรูปสัตว์ รูปหน้าคน หรือกระถางสีพาสเทลสดใส วางบนโต๊ะหรือชั้นวาง

แคคตัส/ไม้อวบน้ำ: ต้นเล็กๆ ที่ดูแลง่าย วางรวมกันหลายๆ ต้นในกระถางดีไซน์เก๋

แจกันดอกไม้สด/ดอกไม้ปลอม: เลือกแจกันทรงกลมมน หรือแจกันสีสันสดใส ใส่ดอกไม้เล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น


4. ของใช้จุกจิกที่เต็มไปด้วยความน่ารัก (Charming Everyday Items)

เปลี่ยนของใช้ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งห้องสุดคิ้วท์

แก้วน้ำ/แก้วกาแฟลายการ์ตูน: เลือกแก้วที่มีลวดลายน่ารัก ตัวการ์ตูน หรือรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์

สมุดโน้ต/ปากกาดีไซน์คิ้วท์: วางไว้บนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะข้างเตียง นอกจากน่าใช้ยังเป็นของตกแต่ง

กล่องเก็บของ/ตะกร้า: เลือกแบบที่มีลายพิมพ์น่ารักๆ หรือวัสดุที่ดูอบอุ่น เช่น กล่องผ้า ลังไม้เล็กๆ เพื่อความเป็นระเบียบและเพิ่มความคิ้วท์

นาฬิกาตั้งโต๊ะ/แขวนผนัง: เลือกนาฬิการูปทรงแปลกตา สีสันสดใส หรือมีตัวเลขดีไซน์น่ารัก


5. แสงไฟและบรรยากาศ (Lighting & Ambiance)

ปรับแสงให้ห้องดูอบอุ่นและน่าอยู่ยิ่งขึ้น

โคมไฟตั้งโต๊ะ/ตั้งพื้นดีไซน์น่ารัก: เลือกโคมไฟที่มีรูปทรงแปลกตา เช่น รูปสัตว์ รูปการ์ตูน หรือโคมไฟที่มีแสงวอร์มไวท์ (Warm White) เพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่น

เทียนหอม/เตาอโรม่า: กลิ่นหอมๆ ที่คุณชอบจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่


เคล็ดลับสร้างห้องสุดคิ้วท์:

กำหนดโทนสี: ห้องคิ้วท์ๆ มักจะใช้โทนสีพาสเทล (ชมพูอ่อน, ฟ้าอ่อน, เขียวมิ้นท์, เหลืองครีม) หรือสีขาว-ครีมเป็นหลัก แล้วแซมด้วยสีสดใสเล็กน้อย

จัดกลุ่มของตกแต่ง: วางของตกแต่งชิ้นเล็กๆ รวมกันเป็นกลุ่มๆ บนชั้นวาง หรือโต๊ะ จะดูมีเรื่องราวและไม่รกตา

ไม่เยอะเกินไป: เลือกของตกแต่งที่โดดเด่นและมีความหมาย ไม่ต้องวางเยอะจนห้องดูแน่น

เป็นตัวของคุณเอง: เลือกของที่สะท้อนความเป็นคุณมากที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้ห้องน่าอยู่ที่สุดค่ะ

หวังว่าไอเดียเหล่านี้จะช่วยให้คุณสนุกกับการตกแต่งห้องสุดคิ้วท์ของคุณนะคะ!

8
จัดฟันบางนา: วิธีระงับอาการปวดฟันชั่วคราว ก่อนพบทันตแพทย์

เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะทราบกันดีว่าอาการปวดฟันนั้นเจ็บปวดและทรมานมากขนาดไหน ซึ่งอาการปวดฟันถือว่าเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายแล้ว เนื่องจากว่าฟันท่านนั้นกำลังเกิดความเสียหายอย่างหนักที่บริเวณเส้นประสาทฟัน จึงทำให้เกิดอาการปวดฟันเสียวฟันได้นั่นเอง ซึ่งสาเหตุของการปวดฟันเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟันคุด ฟันผุ ฟันสึก ฟันแตกหัก โรคเหงือกอักเสบ และอาการปวดจากโรคอื่นๆเป็นต้น

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ วิธีระงับอาการปวดฟัน เพื่อรอเวลาในการไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาต่อไป แต่ขอบอกก่อนว่าใช้วิธีเหล่านี้และเกิดอาการดีขึ้นหายปวดแล้ว ไม่ไปทำการรักษาโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฟันของท่านก็อาจจะเกิดอาการที่หนักขึ้นและปวดรุนแรงขึ้นอีกระดับ วิธีที่เราจะบอกต่อไปนี้เป็นเพียงแค่ช่วยระงับปวดเบื้องจ้นเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

วิธีระงับปวดฟันเบื้องต้น

1.    ทำความสะอาดเศษอาหาร

ถือว่าเป็นวิธีเบื้องต้นที่ดีที่สุดหากว่าท่านเริ่มมีอาการปวดฟัน ให้ท่านกำจัดเศษอาหารต่างๆที่ติดอยู่ในช่องปากและซอกฟัน โดยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน แต่ควรพยายามเบามือในบริเวณฟันซี่ที่ปวดอยู่ หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยให้บ้วนปากเบาๆด้วยน้ำอุ่นอีกครั้งหนึ่ง


2.    ลดสิ่งกระตุ้น

ไม่ควรรับประทานสิ่งที่กระตุ้นอาการปวด เช่น ไม่ดื่มน้ำเย็นจัด ไม่รับประทานของร้อนจัด และไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความหวานจัดหรือเปรี้ยวจัดอีกด้วย เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นอาการปวดฟัน


3.    ระวังการกระแทก

ต้องระวังให้มาก อย่าให้เกิดการกระทบกระแทกบริเวณที่ปวดฟัน และวิธีที่จะทำให้ฟันเกิดการถูกกระแทกมากที่สุดก็คือการบดเคี้ยวอาหาร วิธีหลีกเลี่ยงก็เพียงแค่พยายามเคี้ยวที่ฟันอีกข้างที่ไม่เกิดการปวด หรือเป็นไปได้ในช่วงนี้ควรรับประทานของที่มีความอ่อนไม่ต้องบดเคี้ยว เช่น ข้าวต้ม หรือโจ๊ก เป็นต้น


4.    บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ

เกลือถือได้ว่ามีฤทธิ์ช่วยกำจัดแบคทีเรียและช่วยให้เหงือกมีความชุ่มชื่นขึ้น เป็นหนึ่งวิธีที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน ช่วยให้ระงับอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี


5.    รับประทานยาแก้ปวด

แนะนำว่าเมื่อมีอาการปวดมากๆให้รับประทานยาพาราเซตามอล แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟ่น โดยรับประทานเมื่อมีอาการปวดมากๆครั้งละ 1-2 เม็ด โดยรับประทานห่างกันครั้งละ 4-6 ชั่วโมง และอย่ารับประทานติดต่อหลายวัน เพราะอาจจะมีผลเสียต่อไตได้

 
6.   ประคบเย็น

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำกันอย่างแพร่หลายมากๆเมื่อมีอาการปวดฟัน เนื่องจากหากว่าอุณภูมิต่ำลงจะช่วยในเรื่องลดปริมาณการไหลของเลือด เมื่อเลือดไหลน้อยลงอาการปวดก็น้อยลงตามด้วย


7.    ประคบร้อน

เมื่อมีอาการบวมที่เกิดจากการเป็นหนองบริเวณปลายประสาท การใช้ความร้อนประคบบริเวณที่มีอาการจะเป็นการช่วยระบายหนองได้เป็นอย่างดีทำให้อาการบวมและปวดลดลงอีกด้วย


8.    ใช้แอลกอฮอล์

สำหรับวิธีการนี้ขอแนะนำว่าให้ใช้กับผู้ใหญ่ โดยให้ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์แรงๆ เช่น วอดก้า บรั่นดี วิสกี้ หรือเหล่าสี เป็นต้น นำสำลีไปจุ่มที่แอลกอฮอล์เหล่านี้ และนำไปจี้ในบริเวณที่ปวดแบบเบามือ ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หรืออาจจะใช้วิธีอมแอลกอฮอล์เหล่านี้ซักแปปนึงเพื่อฆ่าเชื้อแล้วจึงทำการบ้วนออกก็สามารถช่วยได้


9.    หากปวดฟันเนื่องจากฟันเริ่มขึ้นในเด็ก

สำหรับการปวดฟันแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้บุตรหลานทรมาน โดยมีวิธีแก้ไขง่ายๆให้บุตรหลานของท่านบ้วนน้ำเกลือบรรเทาอาการปวด หรือรับประทานยาแก้ปวดสำหรับเด็ก ซึ่งอาการจะหายไปเองใน 2-3 วัน

ขั้นตอนทั้งหมดเหล่านี้เป็นแค่การช่วยบรรเทาอาการปวดบวม ไม่ได้เป็นการช่วยรักษาแต่อย่างใด ทางที่ดีหากท่านหากจากอาการปวดบวมแล้ว ควรรีบพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุในการปวดบวม เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องและถูกจุด เพื่อให้อาการปวดบวมเหล่านั้นหายไปอย่างถาวรนั่นเอง

9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
เช็คด่วน...สัญญาณเตือนไหนเสี่ยง “โรคไต”

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า “ไต” ก็เป็นอวัยวะที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ละเลยและปล่อยให้ไตเกิดปัญหาขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว จนในที่สุดทำให้เกิดภาวะไตวายและเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการเหล่านี้มีสาเหตุมาจากสิ่งที่เรียกว่า “โรคไต”


โรคไต...ภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือน

โรคไต เป็นภาวะที่ไตถูกทำลายทำให้การทำงานของไตผิดปกติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

โรคไตเฉียบพลัน : เป็นภาวะที่การทำงานของไตเกิดความผิดปกติอย่างกระทันหัน หรือเกิดโดยไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้การควบคุมสมดุลน้ำในร่างกายเกิดความเสียหาย ซึ่งภาวะนี้สามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานปกติได้

โรคไตเรื้อรัง : เป็นภาวะที่การทำงานของไตค่อยๆ เสื่อมประสิทธิภาพลง เป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือนขึ้นไป โดยภาวะนี้อาจมีอาการแสดงทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว ทำให้หลายคนไม่ทราบว่าตนเองกำลังเสี่ยงเป็นโรคไตเรื้อรัง ซึ่งภาวะนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จำเป็นต้องรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต

 
หากคุณมีอาการเหล่านี้...อาจเข้าข่ายเป็นโรคไต!

อาการของโรคไต ในช่วงแรกของโรคผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการแสดง เพราะอาการส่วนใหญ่จะแสดงออกมาเมื่อไตได้รับความเสียหายไปมากแล้ว โดยหากคุณมีอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรคไตไม่รู้ตัว!

    ปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด หรือปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
    มีอาการบวมตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าบวม ตาบวม หรือเท้าบวม สังเกตได้โดยเอานิ้วกดค้างลงไปบริเวณที่บวม หากมีรอยบุ๋มโดยที่ผิวหนังไม่คืนตัว แสดงว่าอาจเป็นสัญญาณของโรคไต
    บางรายอาจซูบผอมลง เนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงจากอาการเบื่ออาหาร
    รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีผิวหนังซีด หรือมีจ้ำเลือดขึ้นง่าย
    ปวดหลัง หรือปวดเอวข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ
    คลื่นไส้ อาเจียน
    ความดันโลหิตสูงผิดปกติ

อาการเหล่านี้บางอาการอาจเป็นอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงต่อโรคไตทั้งหมด แต่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตจะทำให้มีอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน หากสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เข้าข่ายการเป็นโรคไต ควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาโดยแพทย์อย่างถูกต้อง เนื่องจากอาการที่แสดงออกมาบ่งบอกถึงโรคไตที่เข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว

 

นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นวิธีป้องกันการเกิดโรคไตได้ดีที่สุดอีกด้วย เพราะสามารถทำให้เราทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของไตได้ละเอียดที่สุด หากตรวจพบและทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถหายจากโรคไตได้


11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
คอหมูย่างตะไคร้ เมนูหมูเนื้อนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นตะไคร้ อร่อยทำง่ายสร้างอาชีพเสริมได้ที่บ้าน

คอหมูย่างตะไคร้เป็นเมนูอาหารไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมกลิ่นตะไคร้ และเนื้อหมูที่นุ่มชุ่มฉ่ำ ทำให้เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับการสร้างอาชีพเสริมได้ง่ายๆ ที่บ้าน ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณทำคอหมูย่างตะไคร้ได้อย่างอร่อยและขายดี:

ส่วนผสม:

คอหมู 1 กิโลกรัม
ตะไคร้ซอยละเอียด 3 ต้น
กระเทียมสับ 5 กลีบ
รากผักชีสับ 2 ราก
พริกไทยขาวป่น 1 ช้อนชา
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ:

เตรียมหมู:
ล้างคอหมูให้สะอาด ซับให้แห้ง
หั่นคอหมูเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 เซนติเมตร

ทำเครื่องหมัก:
โขลกตะไคร้ กระเทียม และรากผักชีให้ละเอียด
ผสมเครื่องที่โขลกกับพริกไทยขาวป่น น้ำปลา ซอสหอยนางรม น้ำตาลปี๊บ และน้ำมันพืช

หมักหมู:
นำคอหมูลงคลุกเคล้ากับเครื่องหมักให้ทั่ว
หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือข้ามคืน

ย่างหมู:
นำคอหมูที่หมักไว้มาย่างบนเตาถ่าน หรือเตาอบ หรือกระทะย่าง
ย่างจนหมูสุกและมีสีเหลืองทอง
หั่นหมูเป็นชิ้นพอดีคำ จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม

เคล็ดลับความอร่อย:

เลือกคอหมู: เลือกคอหมูที่มีมันแทรกเล็กน้อย จะทำให้หมูย่างนุ่มชุ่มฉ่ำ
หมักหมู: หมักหมูให้นานขึ้น จะทำให้เครื่องปรุงซึมเข้าเนื้อหมูได้ดีขึ้น
ย่างหมู: ย่างหมูด้วยไฟอ่อนถึงปานกลาง จะทำให้หมูสุกทั่วถึงและไม่แห้งกระด้าง
น้ำจิ้ม: เสิร์ฟคอหมูย่างกับน้ำจิ้มแจ่ว หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบ: เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เช่น หั่นหมู ซอยตะไคร้ และโขลกเครื่องหมัก
บรรจุภัณฑ์: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาดและสวยงาม
ราคา: กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมท: โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line หรือ Instagram
บริการ: ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ และใส่ใจลูกค้า
รักษาความสะอาด: รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด
ร้านอาหาร: ขายในร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่: ขายผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่
งานออกร้าน: เข้าร่วมงานออกร้านอาหารต่างๆ

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพเสริมด้วยคอหมูย่างตะไคร้ได้อย่างแน่นอน

14
Doctor At Home: ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) เยื่อบุมดลูกอักเสบ (Endometritis)

ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่

เยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก (โพรงมดลูกอักเสบ มดลูกอักเสบ ก็เรียก)

ทั้ง 2 โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก (ทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่และรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ (ซึ่งอาจเกิดกับปีกมดลูกทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง) หากไม่รักษาเชื้ออาจแพร่กระจายไปบริเวณข้างเคียงในระบบสืบพันธุ์ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

ทั้ง 2 โรคนี้บางครั้งจึงอาจพบร่วมกันจนแยกจากกันไม่ออก และมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic inflammatory disease/PID) ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โรคนี้บางคนอาจเป็นโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการ ส่วนผู้ที่มีอาการอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง) หรือแบบเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ได้ครบถ้วนตามที่แพทย์แนะนำ และอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอาจพบในผู้หญิงที่คลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือชอบสวนล้างช่องคลอดเอง

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อหนองใน และคลามีเดีย (หนองในเทียม) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ซึ่งจะเข้าไปในโพรงมดลูกจากการคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการสวนล้างช่องคลอด

การติดเชื้ออาจเกิดสาเหตุสำคัญ ดังนี้

1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปีกมดลูกอักเสบหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ เชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อหนองใน (โกโนค็อกคัส) และเชื้อหนองในเทียม (คลามีเดียทราโคมาติส)

2. การติดเชื้อหลังคลอด (puerperal infection) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน การคลอดยาก การบาดเจ็บ ภาวะตกเลือดหลังคลอด เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น) กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอดเข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดเยื่อบุมดลูกอักเสบได้ มักมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง

3. การทำแท้ง หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า การแท้งติดเชื้อ (septic abortion)

อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย

ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อยหรือมาก และมีกลิ่นเหม็น

ถ้าเกิดจากการทำแท้งจะมีอาการแบบแท้งบุตร (ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอด) ร่วมด้วย

ในรายที่เป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง อาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ อาการปวดท้องน้อย 1-2 ข้าง ปวดเสียดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย มีตกขาวเป็นสีเหลืองหรือเขียวและมีกลิ่นเหม็น ปวดขัดหรือปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย มีอาการปวดท้องน้อย หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์

มักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงหลังมีประจำเดือน อาจมีอาการในช่วงสั้น ๆ แล้วหายไปเองโดยไม่ได้รักษา บางรายอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องน้อย) กำเริบเป็นครั้งคราว


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกมากกว่าปกติ

การเกิดแผลหรือพังผืดในท่อรังไข่ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อย (อุ้งเชิงกราน) เรื้อรังเป็นปี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ และช่วงที่มีไข่ตก

นอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษถึงเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากการทำแท้ง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย (รวมทั้งการตรวจภายใน)

ในรายที่มีอาการแบบเฉียบพลัน มักตรวจพบไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว ถ้าเป็นข้างขวาจำเป็นต้องตรวจแยกโรคให้ชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือปีกมดลูกอักเสบ)

อาจได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา

อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อกในรายที่เป็นรุนแรง

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) เอกซเรย์โพรงมดลูกและท่อนำไข่ (โดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่โพรงมดลูกและท่อนำไข่) ตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุมดลูก (endometrial biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ในรายมีอาการรุนแรง กำลังตั้งครรภ์ สงสัยมีฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ หรือใช้ยาปฏิชีวนะชนิดกินไม่ได้ผล แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ ให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด) และให้ยาฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งมักเป็นยาที่สามารถรักษาครอบคลุมเชื้อหนองในและหนองในเทียม (เชื้อคลามีเดีย) โดยใช้ยาชนิดฉีดในระยะแรก ๆ ก่อน

ถ้าอาการไม่รุนแรง ก็ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (ไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล) โดยให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกัน

ยาปฏิชีวนะมีทั้งชนิดฉีดและชนิดกิน ซึ่งมีให้เลือกหลายขนาน โดยใช้ยา 2-3 ชนิดร่วมกัน และมักให้ยานาน 14 วัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญคือ การเกิดหนองหรือฝีในบริเวณปีกมดลูก จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์นิยมใชัวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้องระบายหนองออก และรักษาท่อรังไข่ที่เกิดแผลหรือพังผืดสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรในอนาคต

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม และได้ยาปฏิชีวนะอย่างครบถ้วน ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา หรือได้ยาไม่ครบถ้วน ก็อาจกลายเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น การติดเชื้อจากการทำแท้ง (การแท้งติดเชื้อ) หากรักษาล่าช้าไป อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น หรือหลังคลอด 24 ชั่วโมงมีน้ำคาวปลาออกน้อยหรือมากและมีกลิ่นเหม็น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นปีกมดลูกอักเสบ หรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ตกขาวมากและมีกลิ่นเหม็น อาเจียนมาก กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย ลุกนั่งหน้ามืดจะเป็นลม เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดเอง 

2. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย

3. ปรึกษาแพทย์ในการใช้วิธีคุมกำเนิดที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีกเลี่ยงการใส่ห่วงคุมกำเนิด

4. ควรงดการร่วมเพศ หรือสวนล้างช่องคลอด เป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ภายหลังการคลอดบุตร แท้งบุตร หรือการขูดมดลูก เนื่องเพราะเป็นช่วงที่เยื่อบุมดลูกอ่อนแอ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

5. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ (ไม่อยากได้บุตรในครรภ์) ไม่ควรทำแท้งกันเอง หรือใช้เครื่องมือสกปรกในการทำแท้ง เพราะอาจติดเชื้อรุนแรงถึงตายได้ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง

6. ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองในจากสามี (เช่น สามีมีอาการปัสสาวะขัด หรือมีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ) ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปีกมดลูกอักเสบ


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์ จนกว่ามดลูกจะฟื้นตัวแข็งแรงดี

2. ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน

3. ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย มิเช่นนั้นอาจติดเชื้อจากสามีซ้ำซาก และเกิดอาการกำเริบได้อีก

4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรรับการรักษาอย่างจริงจังและกินยาให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ อย่าปล่อยให้เชื้อลุกลามเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย หรืออาจทำให้เป็นหมันได้

5. โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ไข้ทับระดู (ถ้ามีประจำเดือนหลังไข้ เรียกว่า ระดูทับไข้) และมีความเชื่อว่า ห้ามฉีดยา มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ความจริงแล้วอาการไข้ทับระดู หรือระดูทับไข้ นั้นมีสาเหตุจากไข้อะไรก็ได้ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไทฟอยด์ เป็นต้น) แต่บังเอิญมาประจวบเหมาะกับการมีประจำเดือนเข้า โดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนแต่อย่างใด

แต่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน ก็ได้แก่ ปีกมดลูกอักเสบหรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ เข้าใจว่าคงเคยมีคนที่เป็นโรคนี้ไปฉีดยาประเภทเพนิซิลลิน (ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้กันในสมัยก่อน และเป็นยาที่ทำให้แพ้ได้ง่าย) แล้วบังเอิญเกิดการแพ้ยาถึงตายขึ้นมา จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องห้ามฉีดยาขึ้นมาก็ได้

ความจริงก็คือ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้ยา และถ้ามีความจำเป็นต้องฉีดยาในผู้ป่วยที่มีไข้ร่วมกับการมีประจำเดือน ก็สามารถกระทำได้แบบเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป

15
พูดคุยเรื่องทั่วไป / ประเภทของท่อลมร้อน (Exhaust System)
« เมื่อ: วันที่ 5 กรกฎาคม 2025, 22:18:16 น. »
ประเภทของท่อลมร้อน (Exhaust System)

ท่อลมร้อน หรือระบบดูดอากาศ มีหลากหลายประเภท โดยแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของสิ่งสกปรกที่ต้องการดูดออก รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน

1. ท่อลมแบบกลม (Round Duct)

ลักษณะ: เป็นท่อที่มีรูปทรงกลม ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น เหล็ก แผ่นเรียบ หรือสแตนเลส
ข้อดี: ติดตั้งง่าย มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อน
ข้อเสีย: อาจมีน้ำหนักมาก และการติดตั้งอาจซับซ้อนในบางพื้นที่

2. ท่อลมแบบสี่เหลี่ยม (Rectangular Duct)

ลักษณะ: เป็นท่อที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยม ทำจากวัสดุเดียวกับท่อกลม
ข้อดี: สามารถปรับขนาดและรูปร่างให้เข้ากับพื้นที่ได้ง่าย
ข้อเสีย: อาจมีการสูญเสียแรงดันมากกว่าท่อกลม

3. ท่อลมแบบเกลียว (Spiral Duct)

ลักษณะ: เป็นท่อที่ผลิตจากแผ่นโลหะที่ม้วนเป็นเกลียว ทำให้มีความแข็งแรงและทนทาน
ข้อดี: ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบา และมีราคาถูกกว่าท่อชนิดอื่น
ข้อเสีย: ผิวด้านในของท่ออาจไม่เรียบ ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองได้ง่าย

4. ท่อลมแบบผ้า (Fabric Duct)

ลักษณะ: เป็นท่อที่ผลิตจากผ้าเคลือบสารกันไฟ ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง และติดตั้งง่าย
ข้อดี: น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย สามารถปรับขนาดได้ตามต้องการ
ข้อเสีย: ไม่ทนทานต่ออุณหภูมิสูง และอาจเสียรูปได้ง่ายหากถูกแรงกระแทก

5. ท่อลมแบบพลาสติก (Plastic Duct)

ลักษณะ: เป็นท่อที่ผลิตจากพลาสติก มีทั้งแบบแข็งและแบบอ่อน
ข้อดี: น้ำหนักเบา ทนต่อสารเคมี และราคาถูก
ข้อเสีย: ไม่ทนทานต่ออุณหภูมิสูง และอาจเสียรูปได้ง่ายหากถูกแรงกระแทก

การเลือกใช้วัสดุของท่อลม
การเลือกใช้วัสดุของท่อลมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

ชนิดของสารที่ต้องดูด: หากเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ควรเลือกใช้วัสดุที่ทนทานต่อสารเคมี
อุณหภูมิของอากาศ: หากอากาศที่ดูดออกมามีอุณหภูมิสูง ควรเลือกใช้วัสดุที่ทนความร้อน
ความชื้น: หากมีสภาพแวดล้อมที่ชื้น ควรเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นสนิม
แรงดัน: ควรเลือกวัสดุที่สามารถทนต่อแรงดันได้ตามที่ต้องการ

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้ท่อลม
ปริมาณอากาศ: ต้องคำนวณปริมาณอากาศที่ต้องการดูดออก เพื่อเลือกขนาดและกำลังของพัดลมให้เหมาะสม
ความยาวของท่อ: ความยาวของท่อจะส่งผลต่อแรงดันและการสูญเสียแรงดัน
จำนวนโค้ง: จำนวนโค้งของท่อจะส่งผลต่อการไหลของอากาศ
สภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น อุณหภูมิ ความชื้น จะมีผลต่อการเลือกใช้วัสดุของท่อ

การออกแบบและติดตั้งระบบดูดอากาศควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการและปลอดภัย

หน้า: [1] 2 3 ... 40